- คนที่มีเวลาไม่มาก หรือไม่อยากเดินนานมาก ก็สามารถเดินแค่ 15 นาทีจนถึง Kevin's bench มีที่นั่งร่มๆ ให้ทานข้าวทานขนม ชมสายธารน้ำจาก east fork และ west fork ไหลมาบรรจบกัน
- ผู้ที่มีเวลาพอสมควรและต้องการออกกำลังกายก็สามารถเดินไปตาม East Fork จนถึง first crossing (จุดข้ามน้ำจุดแรก) แล้วนั่งเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆ ชมน้ำตกเล็กๆ ไหลลดหลั่นกันมาตามโขคหินได้
- ผู้ที่มีเวลามากๆ และต้องการออกกำลังกายหนักๆ สามารถเดินไต่ระดับ 1000 ฟุต จนถึงจุดชมวิว Montecito Outlook หรือจะไปจนถึงจุดสูงสุดที่ 3000 ฟุต บนถนน East Camino Cielo เลยก็ได้ (แต่.. เหนื่อยมาก)
- trail นี้มีทางแยกไปหลายทาง ทาง West Fork นั้นสามารถเดินไปชมธรรมชาติ ดอกไม้นานาพันธุ์ หรือถ้าจิตใจรักการปีนป่าย ก็สามารถตะลุยโขดหินสูงชันขึ้นไปจนถึงน้ำตก Tangerine Falls เลยก็ได้ (สวยมากๆ)
- ผู้ที่รักบทกวี หรือจิตใจอัดอั้นแบบโรแมนติก ชนิดที่อยากเขียนระบายความในใจทิ้งไว้ที่ยอดเขาไหนสักแห่ง เผื่อว่าใครบางคนจะผ่านมาอ่านเห็น ก็สามารถเร่ิมเดินจากด้านบนสุด (ขับรถขึ้นไปได้) แล้วไต่เขาออกนอกเส้นทางหลักไปยัง Montecito Peak บนนั้นจะมีหมุดสำรวจของ USGS และกล่องเหล็กสีเขียวแบบของทหาร ภายในมีสมุดบันทึกและปากกาไว้ให้เขียนอะไรก็ได้ บ้างก็แค่ลงชื่อเยี่ยมชม บ้างก็วาดรูปไว้สวยงาม บ้างก็เขียนเล่าประสบการณ์การปีนเขา บ้างก็สารภาพรักกับใครบางคนที่ไม่มีทางจะเดินผ่านมาทางนี้
- ผู้ที่ชอบการทำอาหารในป่า หรืออยากหาที่ picnic สวยๆ หรืออาจจะกางเต้นท์นอนค้างคืนก็ได้ สามารถเริ่มเดินจากข้างบน ลงไปทางทิศเหนือด้านหลังภูเขา (เรียกว่า north cold spring trail หรือ forbush trail) ลดระดับลงไป 1000 ฟุตก็จะถึง Forbush flat เป็นแคมป์กราวด์ที่เดินไปถึงได้ง่ายที่สุด (ไม่นับรวมแคมป์ที่ขับรถไปถึงได้ .. ซึ่งไม่น่าตื่นเต้น) แต่ขากลับก็ต้องปีนขึ้น เหนื่อยสักหน่อย
- ผู้ที่รักธรณีวิทยา สามารถเดินเลย Forbush flat ขึ้นเนินไปอีกสักนิดเพื่อชมก้อนหินที่มีฟอสซิลหอยโบราณมากมาย ไม่ต้องเข้าไปชมตามพิพิธภัณฑ์ไหนเพราะที่นี่มีวางให้เห็นกันข้างทางเลยทีเดียว นั่นแสดงว่าบริเวณนี้แม้จะสูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งมากมายแต่ในอดีตเคยจมอยู่ใต้ทะเลมาก่อน!
- ผู้ที่รัก hot spring (น้ำพุร้อน) และมีอุตสาหะปานกลางถึงมาก สามาถเดินต่อไปจาก forbush flat อีก 4 ไมล์ ไปถึง Little Caliente Hot Spring ลงแช่ให้สบาย แต่คงแช่ได้ไม่นานก็ต้องเดินกลับเพราะเวลาใกล้หมด ขากลับก็เหนื่อยกันสักหน่อย
- นี่ยังไม่ได้พูดถึง Mono Campground, Cotam Camp, Blue Canyon, น้ำตก The Grotto, meadow (ทุ่งหญ้า) งดงามต่างๆ อีกมาก, ฯลฯ ที่นี่มีหลายสิ่งให้เลือกสรรกันจริงๆ
โม้อย่างเดียวคงแค่สนุกปากคนโม้ แต่คนฟังคงไม่สนุกด้วย .. ถ้าไม่มีภาพประกอบ
วันนี้ขอเอาภาพมาโชว์เฉพาะส่วนที่เป็น East Fork Cold Spring Trail นั่นคือ ทางแยกฝั่งตะวันออกส่วนที่อยู่หน้าเขา (front country trail) ว่ามีอะไรน่าดูน่าชมบ้าง
ผมมีโอกาสได้ไปเดินใน trail นี้นับครั้งไม่ถ้วน (พูดไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ ก็นับได้ถ้วน) ภาพที่จะนำมาเล่าเรื่องราวให้ฟังกันนี้ในคราวนี้ก็จะนำมาจากการเดินหลายๆ ครั้ง แต่มีอยู่เพียงครั้งหนึ่งที่ผมได้เดินจากข้างล่างสุดไปถึงข้างบนสุด คือเมื่อปลายเดือน ธ.ค. 2552 เริ่มที่ความสูง 650 ฟุต จบที่ความสูง 3400 ฟุต คิดเป็นระดับความสูงที่ต้องไต่สุทธิ +2750 ฟุต (838 เมตร) ระยะทางไปกลับประมาณ 9 ไมล์ (14.4 กม.) โปรไฟล์ของการเดินหน้าตาเป็นแบบนี้
ผมตัดสินใจไปเดินในวันนั้นคนเดียวเพราะ
ผมตัดสินใจไปเดินในวันนั้นคนเดียวเพราะ
- ไม่มีใครยอมไปด้วย
- อยากจะทดสอบไต่ระดับประมาณ 3000 ฟุตด้วยตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เพิ่งค้นตัวเองว่าสามารถทำอย่างนี้ได้หลังจากที่ไปเดินกับชาว Sierra Club ที่ San Ysidro Trail (วันนั้นคิดว่าผมคงต้องพักกลางทาง แต่ปรากฎว่าสามารถลากสังขารไปกับพวกคนอื่นเขาได้ รู้สึกภูมิใจมากแม้จะเดินช้ากว่าชาวบ้านก็ตาม)
- อยากจะทดสอบ trekking poles (ไม้คำ้ยัน) ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ อันละแค่ $10 เอง เพราะเมื่อวันโน้นเห็นชาว Sierra Club เขาชอบใช้กัน รู้สึกว่ามันเท่ดี และหวังว่ามันคงจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
Cold Spring Trail นั้นแม้จะมีหลายแยก แต่มี trailhead ด้านล่างสุดอยู่ในจุดเดียวกันนั่นคือบนถนนอันคดเคี้ยว East Mountain Drive ของเมือง Montecito (เป็นส่วนหนึ่งของ Santa Barbara) เมื่อขับรถมาถึงจุดนี้จะรู้ทันทีว่าถึงแล้วเพราะว่าจะมีน้ำไหลท่วมถนน ซึ่งน้ำนั้นก็คือน้ำจาก Cold Spring Creek นั่นเอง ในอเมริกานี้เขาออกแบบทางข้ามน้ำกันแบบนี้ (ศัพท์เทคนิคเรียกว่า ford) นั่นคือ ถ้าไม่จำเป็นต้องสร้างสะพานเขาก็จะไม่สร้างสะพาน ให้น้ำไหลข้ามถนนไปเองซะเลย ในบางครั้งเขาก็จะสร้างท่อใหญ่ๆ ไว้ใต้ถนนด้วยเพื่อช่วยในการระบายน้ำ คนที่ขับรถผ่านไปมาก็ต้องระมัดระวังกันเอาเอง บางครั้งก็เป็นไปได้ว่าน้ำจะท่วมสูงจนกระทั่งรถเล็กผ่านไปไม่ได้
แม้ยังไม่ทันเริ่ม hike ก็ได้ยลธรรมชาติแล้ว นี่คือหน้าตาของ trailhead บนถนน East Mountain Drive การที่น้ำไหลท่วมถนนนั้นไม่ใช้อุบัติเหตุแต่เป็นความตั้งใจของผู้ออกแบบ (It's a feature, not a bug.) |
บางครั้งถ้าจอดรถไว้ด้านหนึ่ง แต่ดันเดินออกมาจาก trail อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องลุยน้ำข้ามฟากอย่างที่เห็นนี้ อูยยย เย็นเจี๊ยบ! (ภาพถ่ายโดยแฟง, ธ.ค. 2553) |
ที่จอดรถนั้นมีมากมาย บางครั้งในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลอาจจะมีรถมากสักหน่อย แต่ผมก็หาที่จอดได้ทุกครั้ง บางครั้งก็อาจจะไกลหน่อย แต่ถ้ามาเดินป่า 8-9 ไมล์อย่างนี้คงไม่เกี่ยงที่จะเดินไปขึ้นรถไกลขึ้นสักเพียง 0.1 ไมล์
รถ Honda Civic 2001 คู่ชีพของผม ขับมาแล้วเกินแสนไมล์ (ไม่ได้โม้) |
ต้นไม้ต้นนี้เหมือนชูสองนิ้ว Victory! สูัตายครับ! |
ทางเดินในช่วงต้นนี้ลาดขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีจุดไหนที่ชันเกินไป |
ผมชอบแสงตัดเส้น (rim lighting) ของภาพนี้ มีดอกไม้ดอกอื่นที่ดูสวยกว่าดอกนี้แต่ว่าสภาพแสงของดอกนี้สวยที่สุด |
ใบเฟิร์น ถ่ายที่ 55mm, f/6.3 ผมมักจะถ่ายดอกไม้ใบหญ้าด้วย aperture-priority mode (ตัว A บน Nikon) แล้วปรับ aperture ไปเรื่อยๆ หลายๆ แบบ พอกลับบ้านมาดูภาพในจอคอมก็มักจะพบว่า f/6.3 เนี่ยะสวยสุด |
นี่เป็นจุดที่ผมชอบพาเพื่อนที่ไม่เคยเดินป่าให้มาทดลองเดิน เพราะทางสั้น เดินง่าย และความงดงามที่ได้เห็นไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง คนต่างเมืองส่วนใหญ่มาเที่ยว Santa Barbara ก็จะแวะไปตาม
ปกติผมจะใส่รองเท้าบู้ตของ Columbia แบบแข็งแรงแน่นหนาเมื่อเดินป่า แต่สำหรับการเดินเพียง 15 นาทีในวันนี้จะใส่รองเท้าอะไรเดินก็ได้ (ภาพถ่ายโดยแฟง, ธ.ค. 2553) |
- ประหยัดแรงของผู้เดินในขณะขึ้นเนิน และ
- ลดการกัดเซาะหน้าดินในฤดูน้ำหลาก เพราะถ้าหากทางเดินมีความชันมากน้ำก็จะไหลเร็วมาก
ขึ้นเนินไปสักพักพอให้ได้เหนื่อยก็ขอยืนพิงก้อนหินบนหน้าผาทางขวามือสักหน่อย มองไปทางซ้ายเป็นหุบเหวและธารน้ำที่เราเดินจากขึ้นมาเมื่อครู่นี้ แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะจากมันไปนาน เบื้องหน้าอีกไม่นานเรากำลังจะไปบรรจบกับ East Fork Cold Spring Creek อีกครั้ง ณ จุดที่เรียกว่า "First Crossing"
ณ จุดยืนพักนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปด้านหลังจะพบว่าเราอยู่บนที่สูงจากระดับน้ำทะเลพอสมควร นั่นเพราะเราเริ่มต้นเดินจากระดับประมาณ 650 ฟุต (~200 เมตร) เมื่อมองไปก็จะเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกโผล่ขึ้นมาจากแอ่งของหุบเขาให้เราได้ชุ่มชื้นใจ
มุมมองจากจุดแวะพักระหว่างเดินจาก Kevin's Bench ขึ้นมายัง First Crossing ถ่ายเมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว (มี.ค. 2554) |
การพักบ่อยๆ นั้นยังจะสามารถทำให้เราเดินต่อไปได้ไกลขึ้น และไกลจากจุดนั้นไปอีกนิดเดียวก็ถึงจุดที่ทางเดินตัดกับธารน้ำครั้งแรก เรียกว่า First Crossing ผมเดินกระโดดข้ามก้อนหินสองสามก้อนก็ข้ามไปได้ แต่จะรีบข้ามไปทำไม? ในเมื่อความงามของสายน้ำและเสียงน้ำตกเล็กๆ ที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ มันช่างเชื้อเชิญให้แวะเยี่ยมชม
โขดหินที่ต้องเดินข้าม ณ First Crossing ผมเคยเห็นภาพมุมนี้ครั้งแรกจากบทความของ Ray Ford เห็นแล้วก็รู้สึกทันทีว่าจะต้องเดินมาเห็นด้วยตาของตัวเองให้ได้ เมื่อมาครั้งแรกๆ ผมพยายามจะถ่ายรูปอยู่หลายครั้ง แล้วก็ต้องผิดหวังไปหลายครั้งเช่นกัน เพราะจุดนี้อยู่ในที่ร่มตลอดเวลา แสงน้อยมากแม้จะเป็นตอนกลางวัน ไม่มีทางที่จะถือกล้องนิ่งเพียงพอได้เลย ทางเดียวที่จะถ่ายได้ชัดก็คือต้องมีขาตั้งกล้อง ซึ่งผมเคยคิดว่าคงแบกขึ้นมาไม่ไหว ... จนกระทั่งได้พบกับ Manfrotto (แล้ววันหลังจะเล่าให้ฟังเรื่องความวิเศษของ Manfrotto) |
เขยิบเข้าไปใกล้อีกนิด ลองเอาเท้าสัมผัสกับน้ำของ Cold Spring Creek แล้วจึงเข้าใจแจ่มแจ้งว่าชื่อนี้มีที่มาอย่างไร |
จ๊อบ หนึ่งในลูกทัวร์ที่ผมเคยพาไปทัศนศึกษาที่นี่ |
กระโดดโลดเต้นแถวๆ First Crossing ได้พอสมควรแล้วก็ถึงเวลาเดินต่อไป ทางเดินถัดจากนี้จะเป็นการขึ้นเนินแบบง่ายๆ ไม่ชันมาก เมื่อเดินไปแล้วจะได้ยินเสียงน้ำอยู่ทางขวามือตลอดเวลา มองไปก็จะเห็นแอ่งน้ำใหญ่น่ากระโดดลงไปเล่น แต่ไม่มีทางลงเป็นเรื่องเป็นราว ต้องค่อยๆ มองหาจุดที่ห้อยโหนเอาตัวลงไปได้ ไม่อันตรายมากนักแต่ก็ต้องระมัดระวัง
บ่อน้ำบ่อนี้น้ำใสไหลแรงตลอดปี ตั้งอยู่ทางขวามือของทางระหว่าง First และ Second Crossing |
มองขึ้นไปเหนือน้ำของบ่อในภาพที่แล้ว พบว่าเป็นธารน้ำที่ไหลต่อเนื่องมาจากที่ไกล รายรอบไปด้วยโขดหินให้เราได้นั่งทานข้าวชมวิวอย่างสบายใจ |
เหนือน้ำขึ้นไปอีกนิดก็เป็นบ่อน้ำตกอีกบ่อหนึ่ง |
(ควรใช้เครื่องกรองน้ำ) เพราะถัดจากนี้จะไม่มีแหล่งน้ำอีกแล้ว การขาดน้ำเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักเดินป่าหน้าใหม่ต้องตายหรือต้องโทรเรียกความช่วยเหลือ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ป้องกันได้ง่ายมาก เพียงแค่อย่าประมาณความต้องการของร่างกายตัวเองต่ำไป
น้องเก้า ผู้มาเยือนจากชิคาโก้ กำลังข้าม Second Crossing |
อย่างไรก็ตามที่จุดตัดของ E Cold Spring Trail และ Edison Road นี้ มีจุดชมวิวที่ชื่อว่า Montecito Outlook สามารถมองไปเห็นเมือง Santa Barbara, มหาสมุทรแปซิฟิก, และหมู่เกาะ Channel Islands ได้อย่างสวยงามชัดเจน
เมื่อเดินมาถึงจุดนี้แล้วเราอาจเลือกเดินกลับลงทางหลังเขาหรือทางหน้าเขาก็ได้ แต่เมื่อปลายเดือน ธ.ค. 2552 ผมเดินมาคนเดียวด้วยจิตใจตั้งมั่นว่าวันนี้ผมจะต้องเดินขึ้นไปให้ถึงยอดเขาให้จงได้ ผมตรวจสอบน้ำในกระติกว่ามีเพียงพอ ก่อนที่จะยิ้มและก้าวเดินต่อไป (ถ้าน้ำเหลือครึ่งหนึ่งเมื่อไหร่จะเดินกลับทันที)
ต้นยูคาลิปตัสเดียวดายบน East Cold Spring Trail ถูกใช้เป็นกระดานข้อความเพื่อสารภาพรัก ขอให้พวกที่แสดงความรักต่อกันโดยการทำร้ายธรรมชาติแบบนี้ ต้องเลิกกันอย่างเจ็บปวดด้วยเทิ้ดดดดดด! สาธุ!! |
คำสอนนี้นำไปใช้กับการดำรงชีิวิตได้เหมือนกัน
ผมหยุดพักทานโน่นทานนี่ ดื่มน้ำมากๆ ไม่ใช่แค่ให้หายคอแห้งแต่ต้องดื่มให้หมดกระหาย ผมพยายามจะไม่ทำพลาดอย่างที่นักเดินป่าหน้าใหม่เขาพลาดกันบ่อยๆ นั่นคือ คิดว่าการแบกน้ำเป็นภาระ จึงแบกน้ำมาให้น้อยที่สุดและต้องคอยขยักขย่อน (rationing) จิบทีละนิดๆ แค่พอให้ลื่นคอ ถ้าไม่กระหายจริงๆ ก็ไม่แวะดื่มน้ำ นั่นเป็นสาเหตุให้หลายๆ คนต้องเกิดภาวะขาดน้ำ (dehydration) และหมดเรี่ยวแรง เดินโซเซ หน้ามืด เป็นลม สะดุดก้อนหิน ขาพลิกขาแพลง จนต้องลำบากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเขาขับเฮลิคอปเตอร์ขึ้นมาช่วย (ไม่ได้ชื่อป่อเต็กตึ๊ง แต่มีมูลนิธิแบบเดียวกันนี้ที่นี่เหมือนกัน อยู่ในการดูแลของตำรวจ Sheriff Department (ผมก็.. เคยใช้บริการ แหะๆ .. แต่ด้วยสาเหตุอื่น)) ช่วยได้ก็รอดไป ช่วยไม่ได้ก็ตายไปก็มี
กลับมาที่ trail กันต่อ ผมเดินไปจนถึงจุดที่ไม่ห่างจากปลายทางมากนักแล้ว มองเห็นทางเดินออกนอกเส้นทางไปสู่จุดชมวิวบนยอดเขาเล็กๆ ที่เรียกว่า Montecito Peak (คนละอันกับ Montecito Outlook ซึ่งเราผ่านมานานแล้ว) ในวันนั้นผมประเมินพลังตัวเองแล้วตัดสินใจไม่แวะไป เพราะทางที่เดินขึ้นไปนั้นค่อนข้างชัน อีกทั้งไม่ใช่ทางหลัก มีคนเดินไปไม่บ่อยทำให้พื้นทรายไม่แน่น เดินแล้วอาจลื่นตกเขาได้ง่ายๆ
แต่เจ็ดเดือนหลังจากนั้นผมได้แวะไป Montecito Peak กับพี่น้ำมนต์ จึงมีภาพเหล่านี้มาให้ดูชิม เอ๊ย ดูชม (แต่เรียกว่าชิมน่ะถูกแล้ว เพราะว่ามีภาพอีกมากที่อยากให้ชม แต่เดี๋ยวเห็นหมดแล้วจะไม่ตื่นเต้นตอนที่ไปเอง จึงเลือกแค่ส่วนน้อยนิดมาให้ชิม)
ยอดเขา Montecito Peak โผล่ขึ้นมาเหนือทะเลหมอก (ก.ค. 2553) จากมุมนี้สามารถเห็นทางเดินขึ้นได้ชัดเจน (สั้น แต่ชันมากกก) |
พี่น้ำมนต์สวมวิญญาณลูกนักพฤกษศาสตร์ ก่อนเดินขึ้น Montecito Peak |
SMS from heaven ในวันที่เดินขึ้นมาบนนี้ พี่น้ำมนต์อยู่ระหว่างการรับยาเคมีบำบัด ติดต่อกันมาเป็นเดือนที่ 7 แล้ว (และนี่ไม่ใช่การเดินป่าครั้งแรก..) |
หลังจากนั้นทางเดินก็เหลืออีกไม่ไกล อาคารรูปจานบินใหญ่ยักษ์จะโผล่มาให้เราเห็นเป็นเป้าหมายตลอดทาง นั่นแหละคือจุดสูงสุดของ East Cold Spring Trail คุณ Ray Ford เขาบอกไว้ว่าครั้งใดที่เขาได้เดินขึ้นมาถึงตรงนี้ เขาก็จะปีนขึ้นไปนอนบนจานบิน มองท้องฟ้า แล้วรู้สึกอย่างที่คุณ Stewart Edward White เคยกล่าวไว้ว่า
“It left you breathless, wonder-stricken, awed. You could do nothing but look, and look, and look again, tongue-tied by the impossibility of doing justice to what you felt. In a little … the change had come to you, a change definite and enduring, which left your inner processes forever different from what they had been.” -- Stewart Edward White, in The Mountainsแปลแบบหลวมๆ ได้ว่า
"สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นจะทำให้คุณต้องทึ่งจนลืมหายใจ คุณจะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากมอง มอง มอง และก็มองอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่มีทางจะหาคำใดๆ มาเอ่ยได้อย่างสมกับความงามที่ประสบพบเห็น. [...] ทีละน้อย ทีละน้อย การเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ก้าวเข้าสู่ตัวคุณ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและถาวร เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ระบบความคิดภายในจิตของคุณแตกต่างไปจากเดิมตลอดกาล" -- Stewart Edward White, ในหนังสือ The Mountains
ทีแรกผมตั้งใจจะปีนขึ้นไปนั่งทานข้าว ชมพระอาทิตย์ตกดินบนแทงก์น้ำ แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะว่าวันนี้ลมแรงมาก อากาศที่ร้อนๆ ในตอนกลางวัน เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นลมหนาวในช่วงใกล้ค่ำเสียแล้ว ผมเดินขึ้นมาบนเนินทางทิศตะวันออกของแทงก์น้ำ พบกับต้นไม้ใหญ่หลายต้น ผมเลือกต้นขนาดพอเหมาะเป็นกำแพงกั้นลมและนั่งทานข้าวที่เตรียมมา
การนั่งบนพื้นกรวดอาจทำให้เจ็บก้น ผมจึงพกแผ่นโฟมติดกระเป๋ามาด้วย รู้สึกว่ามีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง แผ่นโฟมสำหรับนั่งนี้เขาขายกันตามร้านอุปกรณ์เดินป่าหลายสิบดอลล่าร์ ผมหยิบจากกล่องพัสดุมาใช้ได้ฟรีๆ |
จากจุดที่ผมนั่งทานข้าว นี่คือภาพที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้า พระจันทร์กำลังลอยขึ้นมาด้านหลังต้นไม้ต้นใหญ่ |
ระหว่างนั่งทานข้าวก็พบว่า GPS ที่พกมามีสัญญาณเตือนแบตเตอร์รี่ใกล้หมด (ใช้มาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้) ผมจึงทำการเปลี่ยนแบตฯ ก่อนออกเดินทาง นักเดินป่าต้องอย่าลืมพกแบตฯ สำรองไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสำหรับ GPS หรือว่าไฟฉาย ไม่อย่างนั้นแล้วอุปกรณ์ของท่านอาจไม่สามารถช่วยชีวิตท่านได้ |
ขากลับ ผมทั้งวิ่ง ทั้งกระโดด ลงทางอันลาดชัน ส่วนหนึ่งก็ด้วยความสนุกสนาน ดีใจที่พิชิต trail นี้ได้ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก อีกส่วนหนึ่งก็ด้วยความกลัวว่าจะกลับลงไปถึงด้านล่างค่ำเกินไปแล้วจะเป็นอันตราย อีกส่วนหนึ่งก็ด้วยความหนาวเหน็บของค่ำคืนที่คืบเขยิบเข้ามาทุกที มีนักเดินป่ามือสมัครเล่นหลายคนที่ต้องตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต และต้องโทรขอความช่วยเหลือ (ถ้าโทรได้ก็รอดไป) เนื่องจากไม่ได้เตรียมชุดป้องกันความหนาวให้เพียงพอ ด้วยเห็นว่าตอนกลางวันนั้นร้อนตับแตก หารู้ไม่ว่าพอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วอุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว
ส่วนนี้ต้องขอบอกทุกท่านให้เรียนรู้จากประสบการณ์ของผมว่า การรีบเดินกลับบ้าน นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ! ครั้งนี้ผมรอดมาได้เพราะผมโชคดี แต่จริงๆ แล้วการรีบร้อนนั้นสร้างความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นหลายประการ เช่น
- เสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ขาพลิกขาแพลง ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เฮงซวยมากเพราะเดินต่อไม่ได้
- เสี่ยงต่อการเดินผิดทาง ไม่ว่าท่านจะรีบขนาดไหน จงยอมสละเวลามาเช็คแผนที่หรือ GPS สม่ำเสมอ
- ท่านจะมี mindset ที่ตั้งอยู่บนความกลัว และความกลัวนั้นเป็นพื้นฐานของอารมณ์ที่นำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การไม่พักดื่มน้ำ, การทดลองเดินทางลัดทั้งๆ ที่ไม่เคยเดินมาก่อน, การใส่อารมณ์กับเพื่อนร่วมทีม (กรณีเดินทางหลายคน) หรือกับตัวเอง, ฯลฯ
Highway 101 คือเส้นเลือดใหญ่ที่พาดผ่านเมือง Santa Barbara หักโค้งสองครั้งมองเห็นเป็นสัญลักษณ์ Integrate (เกร็ดความรู้: ลีบนิซ (Leibniz) เป็นผู้ออกแบบสัญลักษณ์ Integrate เพื่อให้คล้ายตัว S (ย่อมาจาก Summation)) |
- headlamp สำหรับส่องสว่าง ในวันนั้นผมใช้แบบที่เบาและพลังงานไม่สูงนัก (ใช้แบต AAA สองก้อน, ราคา $20) ก็พบว่าเพียงพอ ต่อมาผมอัพเกรดเป็นแบบที่สว่างมากขึ้น (ใช้แบต AAA สามก้อน, ราคา $30) ก็รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นนิดนึง การใช้ headlamp แทนที่จะใช้ไฟฉายทำให้เรามีมือว่างทั้งสองมือในการถือไม้ค้ำยัน แต่บางตำราเขาบอกว่าควรถือไฟฉายไปด้วยอีกหนึ่งอันช่วยกันส่อง เพราะแสงจากไฟฉายที่ส่องจากมือจะทำให้เกิดเงา ทำให้เรามองเห็นสิ่งกีดขวางได้ชัดขึ้น แต่แสงจาก headlamp อย่างเดียวจะทำให้ไม่เกิดเงา ส่วนตัวผมคิดว่า headlamp อย่างเดียวก็เพียงพอสำหรับคนตาดีพอสมควร (ถ้าตาไม่ค่อยดีก็อย่าเดินตอนกลางคืนเลย) เป็นอย่างไร งงไหม? เอาหละ เพื่อให้งงเข้าไปอีก: บางตำราเขาก็บอกว่าอย่าใช้แสงสว่างมากเกินควร และอย่าใช้แสงสีขาว ให้ใช้แสงสีแดงเพื่อจะคงสภาพความเคยชินกับความมืดของตาไว้ได้ (เพื่อให้รูม่านตายังคงเปิดกว้าง และให้เซลล์ประสาทรับภาพขาวดำหรือ rod ทำงานได้ดี)
- trekking poles หรือไม้ค้ำยัน มีประโยชน์มากเพราะใช้คลำทาง และใช้ป้องกันไม่ให้หกล้มได้อย่างดียิ่ง ในช่วงที่ทางลงชันมากๆ การนำไม้คำ้ยันลงไปก่อนยังจะช่วยเฉลี่ยน้ำหนักตัวไปที่กล้ามเนื้อแขน ทำให้ข้อเข่าของเราเจ็บน้อยลง
- GPS ผมใช้ของ Garmin ราคาแค่ $110 เอง ซึ่งผมจะมองหน้าจออยู่ตลอดเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าทางที่กำลังเดินกลับอยู่นั้นเป็นทางเดียวกับที่เดินมา ถ้าผิดทางปุ๊บก็จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที มีหลายครั้งหลายหนที่เรานึกว่าเราจำทางได้เก่งแต่พอขากลับเรากลับนึกไม่ออกว่าจะต้องเดินไปทางไหน นั่นเพราะขาไปและขากลับเรามองเห็นภาพที่แตกต่างกัน นักเดินป่ามืออาชีพจะต้องไม่มองไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องหัดมองหลังไว้เป็นพักๆ ด้วย (ช่างภาพที่ดีต้องทำอย่างนี้เช่นกัน) ซึ่งความช่างสังเกตนี้สำคัญที่สุด ส่วน GPS ก็เป็นตัวช่วยที่สำคัญรองลงมา
เสร็จสิ้นการเดิน East Cold Spring Trail แล้ว ผมก็กลับบ้านวิเคราะห์เส้นทางที่เดินร่วมกับลุงจอห์น (ครูสอนเดินป่าของผม และเป็นเจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่ด้วย) ก่อนจะนอนหลับอย่างสบายใจ
วิเคราะห์ตำแหน่งทางแยกจากทางหลักขึ้นไปยัง Montecito Peak ด้วยโปรแกรมของ DeLorme บนคอมพิวเตอร์ลุงจอห์น |
เส้นสีชมพูคือทาง (track) ที่บันทึกโดย GPS |
วันหลังผมจะซื้อรองเท้าบูตดีๆ คู่นั้น แล้วจะเล่าให้ท่านฟังว่ามันพาผมไปไหนมาได้บ้าง
---
ผู้อ่านท่านใดพบคำที่พิมพ์ผิดหรือข้อมูลผิด กรุณาคอมเมนต์ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ