วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Night Hike at Cold Spring Trail



เมื่อเดือน ก.ค. 2553 ผมได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรม Friday night hike กับชาว Sierra Club ใน Santa Barbara. ซึ่งทุกวันศุกร์เวลาหกโมงเย็นเขาจะนัดพบกันที่ Santa Barbara Mission
Santa Barbara Mission เป็นวัดเก่าแก่อายุเกิน 220 ปีแล้ว ปัจจุบันข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์​ สวนดอกไม้ และสุสาน และยังคงมีการประกอบพิธีทางศาสนา ในบางครั้งก็เป็นสถานที่แสดงงานศิลปะ ดนตรี หรืองานนัดพบอาสาสมัครงานเพื่อสังคมต่างๆ ในวันนี้ผมมาที่นี่เพราะเป็นจุดนัดพบของชาว Sierra Club ก่อนจะไปเดินตะลุยแสงจันทร์


ภาพนี้ถ่ายในช่วงที่ผมยังไม่คุ้นเคยกับ Nikon D90 ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ทุกอย่างเป็น auto ไม่ได้คิดอะไรมากเมื่อถ่าย คิดแต่ว่าอยากได้เส้นนำสายตาไปสู่ตัวอาคารเท่านั้น ปรากฎกว่าดันได้ลูกศรนี้ซึ่งนำสายตาออกจากอาคารเสียแทน ดูแปลกตาดีเหมือนกัน

ถ้าใครคิดว่าการเดินป่าตอนกลางคืนนั้นเป็นกิจกรรมของหนุ่มสาวไร้สติบ้าพลัง หรือว่าเป็นกิจกรรมของคนแก่เบื่อโลกว่างงานมาก ก็จงปรับทัศนคติเสียใหม่ ชมรม Sierra Club มีคนมากมายหลายรุ่นหลายวัย (แต่สีผิวยังไม่ค่อยหลากหลายเท่าไหร่ -- ส่วนใหญ่เป็นคนขาว) มาเดินป่าด้วยกันด้วยจิตใจที่รักธรรมชาติ ความจริงแล้วกิจกรรมเหล่านี้เปิดกว้างสำหรับสาธารณชน ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกชมรมก็มาเดินเที่ยวด้วยกันได้ โดยทุกกิจกรรมจะมีผู้นำ (hike leader) ผู้ผ่านการฝึกอบรมและผ่านการทดสอบมาแล้ว

คุณน้าใจดีในภาพคือผู้นำของเราในค่ำคืนนี้ (ขอโทษด้วยที่ผมลืมชื่อ)


ภาพนี้ตอนถ่ายไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากนั้นถึงได้เรียนรู้ว่ามุมแสงแบบที่เห็นนี้พวกมืออาชีพเขาเรียกว่า rim lighting เป็นแสงที่ทำให้ถ่ายภาพคนได้สวยมากเพราะแสงจะช่วยตัดเส้นขอบของร่างกาย และช่วยทำให้เส้นผมสะท้อนแสงเปล่งประกายสวยงาม ถ้านี่เป็นการจัดฉาก ก็ควรจะมีคนถือแผ่นสะท้อนแสง (reflector) ทางขวามือเพื่ออัดแสงเข้าไปในหน้าคุณน้าอีกสักหน่อย ภาพจะงดงามมีมิติมากๆ

วันนี้เขาตัดสินใจกันว่าจะไป hike กันที่ East Fork Cold Spring Trail คือว่า Cold Spring นี้เป็นชื่อของธารน้ำ (creek) ที่ไหลลงมาจากภูเขา และธารน้ำนี้ก็มีหลายแขนง (fork) วันนี้เราจะไปเดินทางแขนงฝั่งตะวันออก. เนื่องจากเดือน ก.ค. เป็นช่วงฤดูร้อน พระอาทิตย์ตกช้ามาก night hike วันนี้ก็เลยไม่ night สักเท่าไหร่ ยังคงมีแสงสวยๆ ของดวงตะวันที่ใกล้จะตกทะเลให้เราได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติได้ ความจริงแล้วนักถ่ายภาพธรรมชาติเขาบอกว่าช่วงเวลาใกล้พระอาทิตย์ตกดินนี่แหละที่เป็น golden hours, เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพ เพราะแสงจะนุ่มนวลและมีทิศทาง (ฯลฯ เหตุผลมีอีกมาก)

ทางเดินขึ้นมีภูเขาอยู่ทางขวา และธารน้ำอยู่ในเหวทางซ้าย เมื่อเดินไปสักพักทางก็จะตัดกับธารน้ำ

 ผมเดินเกาะกับกลุ่มหลังสุด เดินช้าที่สุดเพราะมัวแต่ถ่ายรูป เมื่อเดินขึ้นไปถึงทางแยกหนึ่งก็พบว่าพวกกลุ่มข้างหน้าเขากำลังเดินลงมาแล้ว แต่เรายังขึ้นไปไม่ถึง "จุดชมวิว"​ ที่เรียกว่า Montecito Outlook เลย ไม่เป็นไร ผมเคยไปมาแล้ว (วันหลังจะเอาภาพมาให้ชม) ผมเดินกลับลงมาพร้อมกับกลุ่มหน้า โดยใช้ทางลัดตัดออกไปอีกด้านหนึ่งของภูเขา พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะวิวขาลงในสภาพแสงขณะนี้วิจิตรงดงามเป็นยิ่งนัก ผมนึกในใจ "เราถ่ายอย่างไรก็ไม่สวยเท่ากับครึ่งหนึ่งของของจริง แต่ก็เอาวะ ลองดู"

มองลงมาเห็นคฤหาสน์หลังหนึ่งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ชายเขา. มองไกลออกไปนิดก็เป็นเมืองเศรษฐี Montecito ซึ่งเป็นขอบตะวันออกของ Santa Barbara. มองไกลออกไปหน่อยก็คือชายหาดและท้องฟ้าที่มี afterlight สีสันสวยงามเช่นนี้ทุกวัน

ในระหว่างที่เดินลงผมเห็นว่าภาพเนินเขาและแหลมแผ่นดินที่ยื่นเข้าไปในทะเลนั้นสวยงามมาก (เมื่อมองด้วยตา)​ แต่ถ้ายื่นกล้องไปถ่ายซะดื้อๆ ก็คงดูรกๆ ไม่ต่างอะไรจากภาพอื่นอีกเป็นร้อยภาพ จึงแก้ความรกด้วยการนำ boring foreground object เข้ามาช่วย ให้มันโฟกัสไปที่ foreground แต่ความสวยงามของภาพที่แท้จริงอยู่ที่สีสันของ background ในวันนั้นผมยังวัดแสงไม่เป็น ทำ silhouette (ภาพเงาดำย้อนแสงแบบที่เห็นอยู่นี้) ก็ไม่เป็น ก็เลยใช้ตัวช่วย ถ่ายแบบ auto-bracket ไปซะเลยสามภาพ แล้วมาเลือกทีหลัง ปรากฎว่าภาพแรกนั่นแหละที่สวยที่สุด (Nikon นี่มันดีจริงๆ)
ภาพนี้ผมใช้เป็น desktop background บน macbook pro มาจนถึงทุกวันนี้ (ทั้งที่ผมมีภาพที่สวยกว่านี้) ผมชอบที่มันดูเรียบง่ายไม่รบกวนสายตา ในขณะเดียวกันเจ้าดอกหญ้าแนวตั้งนั้นก็ยังใช้ประโยชน์ในการช่วยจัดระเบียบ icons ได้ด้วย
เมื่อกี้ใช้คำว่า auto-bracket ไปโดยที่ยังไม่ได้นิยาม ความหมายของคำนี้ก็คือการสั่งให้กล้องทำการถ่ายภาพรัวให้เราหลายๆ ครั้ง โดยที่แต่ละครั้งให้เปลี่ยนแปลงปริมาณแสงโดยอัตโนมัติ โดยจะถ่ายกี่ภาพหรือว่าให้ความแตกต่างของแสงเป็นเท่าไหร่ก็แล้วแต่เราและแล้วแต่ฟังก์ชั่นของกล้อง ผมเลือกที่จะถ่ายสามภาพ ภาพแรกธรรมดา ภาพที่สองมืด และภาพที่สามสว่าง ช่างภาพมืออาชีพบางคนเขาทำแบบนี้เป็นอาจิณด้วยถือคติว่าเมมโมรี่นั้นราคาถูก ถ่ายแบบนี้จะได้สามารถแน่ใจได้ว่าภาพที่ออกมาจะไม่สว่างเกินหรือมืดเกินไป แต่ช่างภาพมืออาชีพบางคน (โดยเฉพาะที่อีโก้สูงๆ) จะเหยียดหยามเทคนิคแบบนี้มากเพราะท่านว่าเป็นการหว่านแหอย่างไร้ศิลปะ (ในมุมมองของเขา) ตัวผมเองยังไร้อุดมการณ์ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้าเห็นว่าน่าลองก็จะเอามาลองใช้ดู

ประโยชน์อย่างหนึ่งของระบบ auto-bracket นั้นก็คือการถ่ายภาพแบบ HDR (high dynamic range) ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นภาพผลลัพท์ที่มีรายละเอียดของภาพครบทุกส่วนทั้งส่วนที่สว่างจ้าและส่วนที่เป็นเงามืด พูดง่ายๆ การทำ HDR ก็คือการนำภาพสองสามภาพมารวมกัน แต่ละภาพอาจจะมืด/สว่างไม่เท่ากัน ระบบ HDR (อัตโนมัติบ้าง อัตโนมือบ้าง) ก็จะเลือกบริเวณต่างๆ จากภาพที่มีรายละเอียดเหมาะสมที่สุด วิธีนี้ถ้ารู้จักใช้จะทำให้ได้ภาพที่ดูงดงามแปลกตา ถ้าไม่ค่อยรู้จักใช้ก็จะได้ภาพที่ดูแปลกตาอย่างเดียว (แต่ไม่งดงาม ฮาาา)

นี่เป็นภาพ HDR ภาพแรกของผม ไม่รู้สึกว่าสวยงามแต่ดูแล้วแปลกตา ภาพนี้เกิดจากการซ้อนภาพสามภาพเข้าด้วยกันโดยโปรแกรม Enfuse ภาพสามภาพนั้นถ่ายโดยการนั่งลงกับพื้น จัดมือให้นิ่ง กลั้นหายใจ แล้วรัวชัตเตอร์ด้วยระบบ auto-bracket
ส่วนตัวผมหลังจากได้ลอง HDR แล้วรู้สึกไม่ชอบเลย ส่วนหนึ่งไม่ชอบเพราะว่ามันเป็นกระบวนการที่ช้ามากๆ (แรมหมด) อีกส่วนหนึ่งไม่ชอบผลลัพธ์ที่ตัวเองได้ ภาพส่วนใหญ่ออกมาแล้วสีผิดเพี้นเละเทะไปหมด คงต้องศึกษาอีกมากกว่าจะทำให้ออกมาสวยงามได้อย่างมืออาชีพ ดูตัวอย่างผลงานมืออาชีพได้ที่ อาจารย์ Trey Ratcliff www.stuckincustoms.com/hdr-tutorial/ และที่ ปรมาจารย์ Darrell Gulin (คนนี้ผมเคยพบตัวจริง ประทับใจมาก วันหลังจะมาเล่าให้ฟัง (ถ้าผมลืม เตือนผมด้วย))

เวลาล่วงไปสองทุ่มกว่าๆ แล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังมีแสงสว่าง ในช่วงที่เดินอยู่ในหุบเขาจะรู้สึกว่ามืดมาก แต่พอเดินออกมาฝั่งทิศใต้ของภูเขาก็พบว่าฟ้ายังสว่างอยู่ แถมสีสันก็สวยงาม อย่างที่บอกว่าแสงแบบนี้เรียกว่า afterlight (มันจะโผล่มาหลังจาก twilight) ซึ่งเคยได้ยินมาว่าบริเวณที่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากก็จะมีช่วงเวลานี้ยาวนานมาก นั่นคือ พอพระอาทิตย์ตกแล้วจะยังไม่มืดทันที จะมีแสงสีให้เห็นแล้วค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ แต่สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรช่วงเวลานี้จะสั้นมาก นั่นคือ พอพระอาทิตย์ตกปุ๊บ ก็มืดปั๊บเลย

นกสองตัวกำลังบินกลับรัง (พิกเซลเล็กๆ ด้านบนขวา) ต้นไม้กำลังยืนโน้มเอียงอย่างกับรู้ว่าตัวเองอยู่บนเนินเขา
คืนนั้นหลังจาก hike เสร็จ พวกเรา 20 กว่าคน ก็ carpool กันกลับไปที่จุดนัดพบ แล้วมุ่งหน้าไปทานอาหารค่ำร่วมกันที่ร้านพิซซ่าชื่อดังนามว่า ​Taffy's แม้ว่าผมจะเกลียดพิซซ่าแต่ผมก็ไปร่วมวงกับเขาด้วยเพราะว่าผู้คนที่นี่ล้วนคุยกันถูกคอ แล้วผมก็ค้นพบว่า chicken wings ร้านนี้อร่อยมากจริงๆ

Sierra Club จัดกิจกรรมเดินป่าเช่นนี้สัปดาห์ละหลายคร้ง ทุกค่ำวันศุกร์จะมีการเดินป่ากลางคืนระยะสั้นอย่างที่เห็น ทุกค่ำวันพุธจะมีการเดินป่ากลางคืนระยะยาว (คือ.. ทางโหด ถ้าไม่อึดจริงอย่าไป (ผมไม่เคยไป)) และทุกวันเสาร์-อาทิตย์จะมีการพาไปเดินตาม trail ต่างๆ ความยากง่ายแตกต่างกัน มีการประกาศกำหนดการล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เพื่อให้สาธุชนได้วางแผนและมีโอกาสโทรสอบถามข้อมูลกับ hike leader ได้ ไม่ว่าคุณเป็นใครคุณก็สามารถมาร่วมกับเขาได้ฟรีๆ ไม่มีการเรี่ยไรเงินบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการยัดเยียดคำสอนศาสนาใดๆ และที่สำคัญ ไม่แม้แต่จะมาพร่ำบอกให้คุณต้องรักธรรมชาติ เพราะเขาเชื่อว่าหากแม้นผู้คนได้มาสัมผัสธรรมชาติด้วยตา ด้วยหู ด้วยจมูก ด้วยเท้าของตัวเองแล้ว ผู้คนจะต้องตกหลุมรักและอยากจะทะนุถนอมความงดงามนี้ไว้ไม่ให้ใครมาทำลาย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพูดจูงใจอะไรเขาเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น